


เหนื่อยไหมกับปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ?
อยากมีใบหน้าเรียวสวยแบบไม่ต้องผ่าตัด?

โปรแกรมร้อยไหม ไหมมิ้นท์ คือคำตอบ!

การร้อยไหม คืออะไร
การร้อยไหม (Thread Lifting) คือ เทคนิคยกกระชับผิวด้วยการใช้เข็มนำเส้นไหมละลายร้อยเข้าไปในชั้นผิวหนัง ผิวจะถูกเงี่ยงไหมเกี่ยวขึ้นมาตามทิศทางที่ร้อยไหมเข้าไป กระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ผิว ทำให้มีการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระใหม่บริเวณรอบเส้นไหม และเลือดไหลเวียนมาเลี้ยงผิวหนังมากขึ้น ช่วยให้ผิวตึงกระชับขึ้นอย่างชัดเจน
ร้อยไหม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
การร้อยไหม เน้นยกกระชับเป็นหลัก นอกจากจะสามารถแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยแล้ว ยังช่วยปรับรูปหน้า V-Shape เสริมจมูกโด่ง เก็บปีกจมูก และช่วยเพิ่มต้านอนุมูลอิสระ ลดร่องลึกเล็ก ๆ ให้เรียบเนียน
ใครบ้างที่เหมาะกับการร้อยไหม
การร้อยไหม เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย มีร่อวลึก คิ้วตก หางตาตก ต้องการยกกระชับ ปรับรูปหน้าเรียวโดยไม่ผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และต้องการเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว

ไหมที่ใช้ร้อย มีกี่ชนิด มีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างไร
ไหมที่ใช้ในการร้อยไหมจะเป็นไหมละลายที่เกิดจากการสังเคราะห์ เมื่อร้อยไหมเข้ากับใบหน้า ไหมจะสามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ แบ่งได้ 3 ชนิดตามประเภทวัสดุ คือ PDO, PLLA และ PCL มีคุณสมบัติที่ต่างกัน ดังนี้
-
PDO (Polydioxanone) เป็นไหมสีน้ำเงิน ยืดหยุ่นปานกลาง นิ่ม ไม่เปราะ ขณะร้อยจะไม่รู้สึกระคายเคือง
-
PLLA (Polylactate) เป็นไหมเส้นสีขาวใส พัฒนามาจากไหม PDO มีจุดเด่นด้านความแข็ง ทนต่อแรงดึง ข้อดีคือกระตุ้นสารต้านอนุมูลอิสระได้เยอะ สามารถเติมแทนสารเติมเต็มได้ แต่ไม่ค่อยยืดหยุ่น บาง เปราะ ขาดง่าย
-
PCL (Polycaprolactone) เป็นไหมสีขาวเส้นใหญ่ มีความยืดหยุ่นสูงที่สุด แข็งทน ไม่เปราะหักง่าย ปัจจุบันรุ่นล่าสุดได้นำจุดเด่นของไหม PLLA มาผสม ทำให้ไหม PCL+PLLA มีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีและละลายช้า
นอกจากนี้ การร้อยไหมยังสามารถแบ่งได้ตามลักษณะของเส้นไหม เป็น 6 แบบหลัก ๆ คือ ไหมเรียบ ไหมเงี่ยง ไหมเกลียว ไหมกรวย ไหมมิ้นท์ และไหม Tesslift Soft โดยแต่ละคลินิกอาจใช้ชื่อเรียกแตกต่างกัน เพื่อเหตุผลทางการค้า ป้องกันการนำไปเปรียบเทียบกับคลินิกอื่น และให้ง่ายต่อการเรียก ได้แก่

1. ไหมเงี่ยง
ไหมเงี่ยงหรือที่นิยมเรียกกันว่า ร้อยไหมก้างปลา ความจริงแล้วยังมีอีกหลายชื่อครับ เช่น ไหมกุหลาบ, ไหมปากฉลาม, ไหม 8d หรือไหมเขี้ยวงู เป็นไหมละลายที่มีเงี่ยงยื่นออกมา เพื่อช่วยเกี่ยวผิวให้ยกกระชับขึ้น แบ่งออกตามขนาดของเส้นไหม คือ ไหมเงี่ยงใหญ่ และไหมเงี่ยงเล็ก
2. ไหมมิ้นท์ (Mint Lift)
ไหมมิ้นท์ เป็นไหมที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยกกระชับ และปรับรูปหน้าให้ V-Shape มีลักษณะพิเศษ คือ มีเงี่ยงอยู่รอบเส้นไหม 360 องศา แบบ 3 มิติ ช่วยเพิ่มแรงในการเกาะติดกับผิวหนังได้หลายทิศทาง ตัวไหมมีความแข็งแรง ไม่เปราะง่าย
3. ไหมตาข่าย (Tesslift Soft)
ไหมตาข่าย หรือไหมโครงตาข่าย เป็นไหมละลายที่เป็นไหมเงี่ยงล้อมรอบด้วยตาข่าย มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องความแข็งแรงของเส้นไหม ทนแรงต้านได้ดีกว่าไหมทั่วไปถึง 80 เท่า สามารถช่วยยกพยุงผิวที่หย่อนคล้อยได้ดี เพราะการร้อยไหมตาข่าย 1 เส้น เทียบเท่ากับการร้อยไหมถึง 2 เส้น
4. ไหมเกลียว
ไหมเกลียว เป็นไหม 2 เส้นเกลียวเข้าด้วยกัน หรือมีซิลิโคนพันอยู่รอบเส้นไหม เพื่อช่วยดึงผิวที่หย่อนคล้อยให้ยกกระชับขึ้น แต่จะเหมาะกับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยไม่มาก และสามารถทำร่วมกับไหมชนิดอื่น
5. ไหมกรวย
ไหมกรวย มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า ไหมเทอร์โบ, ไหมโคน หรือ ไหมกรวย Silhouette มีลักษณะเป็นพลาสติกทรงกรวยเล็ก ๆ อยู่ระหว่างปมของเส้นไหม หลังทำอาจมีอาการปวดหรือบวม ใช้เวลาทำนานและราคาสูง จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยม
6. ไหมเรียบ
ไหมเรียบ เป็นไหมละลายเส้นเรียบ ไม่มีเงี่ยงหรือเกลียว มีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ ช่วยเรื่องรอยเหี่ยวย่น แต่ไม่สามารถช่วยดึงยกกระชับผิวได้ ในปัจจุบันจึงไม่นิยมใช้แล้ว
ร้อยไหมอยู่ได้นานไหม
ร้อยไหมอยู่ได้นานตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 1 ปี แล้วละลายหมด ขึ้นอยู่กับชนิดของไหม ดังนี้
-
PDO อยู่ได้นานประมาณ 4-5 เดือน
-
PLLA อยู่ได้นานประมาณ 18-24 เดือน
-
PCL อยู่ได้นานประมาณ 1 ปี

ปัจจัยที่ทำให้ผลลัพธ์ของการร้อยไหมแตกต่างกันออกไป
ผลลัพธ์ของการร้อยไหมของแต่ละคนอยู่ได้นานไม่เท่ากัน บางคนไหมอยู่ได้ 4 เดือน 6 เดือน หรือบางคนอาจอยู่ได้นานถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่เลือกใช้ สภาพผิวเดิม การสร้างอิลาสติน และการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล
ข้อดีของการร้อยไหม
ช่วยแก้ปัญหาผิวที่หย่อนคล้อย ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียว V Shape หลังทำไหมจะกระตุ้นการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือดทำให้ผิวเต่งตึง แลดูอ่อนกว่าวัยโดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถเห็นผลลัพธ์การยกกระชับทันที มีคุณภาพ ไหมละลายหมดตามระยะเวลา ไม่ทิ้งสารตกค้าง
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจร้อยไหม
ก่อนตัดสินใจร้อยไหม คนไข้ควรศึกษาข้อ มูลอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย หมอมีข้อควรระวังที่ควรรู้ก่อนร้อยไหมมาแนะนำ ดังนี้
-
ไหมละลายมีอายุ 4 เดือน-2 ปี ขึ้นกับชนิดของเส้นไหมและการดูแลตัวเองหลังทำของแต่ละคน โดยส่วนใหญ่เมื่อเวลาผ่านไป 6-8 เดือน ผิวก็จะหลุดออกจากเส้นไหมก่อนที่ไหมจะละลายหมด ทำให้ผลลัพธ์อาจจะอยู่ได้ไม่นานตามที่โฆษณา
-
หากร้อยไหมกับแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ ไม่รู้เทคนิคที่ถูกต้อง ร้อยไหมในผิวชั้นตื้นเกินไป อาจทำให้เกิดรอยบุ๋มขึ้นตามแนวที่ร้อยไหม หรือถ้าร้อยไหมทับซ้อนกันมากเกินไป จะทำให้เกิดเป็นพังผืดใต้ผิวหนัง ดึงรั้งผิวให้ผิดรูปได้
-
เทคนิคการร้อยไหม ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแพทย์ และการออกแบบว่าจะร้อยไหมไปในทิศทางไหน เพื่อให้เข้ากับรูปหน้าของคนไข้และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด หากร้อยไหมกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง รู้เทคนิคและตำแหน่งถูกต้อง ก็จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงได้
การเตรียมตัวก่อนทำการร้อยไหม
การเตรียมตัวก่อนร้อยไหมไม่ยุ่งยาก เพียงแต่ควรแจ้งประวัติการแพ้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ หรือแจ้งโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง และงดวิตามินหรือผลิตภัณฑ์บางชนิดที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น แอสไพริน, Vitamin E, St. Johns Wort, Primrose Oil, Ginko Biloba อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำ รวมทั้งควรงดการแว็ก การผลัดเซลล์ผิว นวดหน้า หรือเลเซอร์หน้าเป็นเวลา 3 วันก่อนทำหัตถการ เพื่อลดอาการบวมช้ำหลังร้อยไหม
ข้อห้ามและการปฏิบัติตัวหลังจากทำการร้อยไหม
หลังร้อยไหม คนไข้ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง และเพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานมากขึ้น หมอได้รวบรวมวิธีการดูแลตัวเองหลังร้อยไหม ดังนี้